วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สังคมและระบบผังเมืองสมัยสุโขทัย

สังคมในสมัยสุโขทัย
  กล่าวกันว่าในสมัยกรุงสุโขทัย ความเชื่อดั้งเดิมของชาวสุโขทัยจะนิยมนับถือผีสาง เทพยดา บรรพบุรุษ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเป็นที่ตั้ง  แต่ภายหลังต่อมา เมื่อมีพระพุทธศาสนาเข้าเผยแผ่ในกรุงสุโขทัย โดยได้รับมาจากเมืองนครศรีธรรมที่ถ่ายทอดมาจากลังกา(ลัทธิลังกาวงศ์)อีกที จึงทำให้ความเชื่อของชาวกรุงสุโขทัยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นอกจากนี้ ก็ยังมีศาสนาพราหมณ์เข้ามามีอิทธิพลต่อชาวเมืองสุโขทัยเพิ่มขึ้นอีกศาสนาหนึ่งด้วย ดังจะเห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดังต่อไปนี้
ศิลปกรรมหรือสถาปัตยกรรมไทยในสมัยนั้น จะมีลักษณะเด่นที่เห็นได้จากการสร้างเจดีย์ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมา  3  แบบ  ได้แก่
– ระยะแรก  นิยมสร้างเป็นเจดีย์ทรงกลม แต่ฐานเตี้ย
– ระยะที่สอง  นิยมสร้างเป็นเจดีย์แบบบัวตูม หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
– ระยะที่สาม นิยมสร้างเป็นเจดีย์ทรงกลม  ฐานสูง
โดยพระเจดีย์ที่ถือเป็นเอกลักษณ์อันแสนโดเด่นของอาณาจักรสุโขทัย สามารถพบเห็นได้ที่พระเจดีย์องค์ใหญ่ในวัดมหาธาตุ  หรือ พระเจดีย์กลางที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว
ในส่วนของประติมากรรมจะเป็นการปั้นพระพุทธรูปเสียส่วนใหญ่ โดยลักษณะเด่นของพระพุทธรูปในสมัยกรุงสุโขทัย จะมีส่วนโค้งที่สง่างาม  เรียบ และประณีต โดยพระพุทธรูปที่ได้รับยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปต้นแบบที่งดงามที่สุด  ก็คือ พระพุทธรูปปางลีลา นั่นเอง
ระบบผังเมืองในสมัยกรุงสุโขทัย
     แผนผังของเมืองสุโขทัยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มีความกว้างประมาณ 1800 เมตร และมีความยาวประมาณ 2000 เมตร รอบเมืองจะมีกำแพงล้อมรอบ ซึ่งกำแพงทำจากคันดินที่ถมอัดแน่นล้อมรอบเมืองเอาไว้ถึง 3 ชั้น และระหว่างกำแพงเมืองแต่ละชั้น ก็จะสร้างมีคูน้ำเพื่อคั่นกลางเอาไว้  เกือบกึ่งกลางของกำแพงเมืองในแต่ละด้านจะมีประตูเมืองคอยเปิดและปิดเพื่อต้อนรับแขกและป้องกันศัตรู อีกทั้งยังมีป้อมดินที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมขวางกั้นเอาไว้อยู่ ทั้งนี้ ประตูเมืองทั้งสี่ประตูในปัจจุบันก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้ ทิศเหนือมีชื่อเรียกว่า ‘ประตูศาลหลวง’ ทิศตะวันออกมีชื่อเรียกว่า ‘ประตูกำแพงหัก’ ทิศใต้มีชื่อเรียกว่า ‘ประตูนะโม’ และทิศตะวันตกมีชื่อเรียกว่า ‘ประตูอ้อ’
ส่วนภายในเมืองก็มีสถานที่หลักๆหลายแห่ง แห่งแรกคือศูนย์กลางของเมือง อันได้แก่ วัดมหาธาตุ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง อีกทั้งยังมีวัดอื่นๆที่ตั้งอยู่เกาะกลุ่มใก้เคียงกับวัดมหาธาตุ อันประกอบไปด้วย วัดชนะสงคราม วัดศรีสวาย วัดตระพังเงิน วัดสระศรี วัดตระกวน วัดใหม่ และวัดตระพังทอง นอกจากวัดแล้ว ยังมีสระน้ำขนาดต่างๆที่ตั้งกระจายอยู่ตามพื้นที่โดยทั่วไป โดยเฉพาะสระน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างตามความเชื่อทางพุทธศาสนา โดยสระน้ำจะถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของวัดหรือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกำหนดขอบเขตของวัดนั่นเอง
ส่วนบริเวณนอกตัวเมืองทั้งสี่ด้าน ก็สามารถพบเห็นโบราณสถานขนาดต่างๆตั้งกระจายอยู่ตามพื้นที่ทั่วไป โดยทางทิศเหนือจะมีวัดพระพายหลวง วัดศรีชุม และเตาทุเรียงเป็นสถานที่หลักสำคัญ ส่วนทิศตะวันออกก็มีวัดช้างล้อม วัดเจดีย์สูง และวัดตระพังทองหลาง คอยบ่งบอกอาณาเขตไว้ ในขณะที่ทิศใต้จะมีวัดพระเชตุพน วัดเจดีย์สี่ห้อง และวัดศรีพิจิตรกิติกัลยาราม ตั้งเป็นสำคัญอยู่ ส่วนสุดท้ายที่ทิศตะวันตกก็มีกลุ่มวัดหลายแห่งในเขตอรัญญิก เช่น วัดป่ามะม่วง วัดมังกร วัดสะพานหิน วัดพระบาทน้อย และวัดเจดีย์งาม ตั้งไว้ให้ผู้คนไปสักการะด้วย และนอกจากนี้จากนี้ ในแต่ละด้านก็ยังมีสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้องกับระบบชลประทาน ไม่ว่าจะเป็น คันบังคับน้ำ ทำนบ คลองส่งน้ำ คลองระบายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการกักเก็บน้ำไว้ใช้ และเป็นปราการสำคัญของกรุงสุโขทัยด้วย
จากที่กล่าวถึงลักษณะของเมืองตามที่กำหนดให้ศาสนสถานเป็นศูนย์กลางของเมืองเช่นนี้ ถือเป็นหลักการในการตั้งเมืองที่น่าจะได้รับอิทธิพลจากเขมรที่ผสมผสานไปกับอิทธิพลของพุทธศาสนานอกายหินยาน  ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีศาสนสถานต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นตามลำดับ และถูกใช้เป็นตัวการหลักในการกำหนดและออกแบบรูปแบบของผังเมือง
จากผลที่นักประวัติศาสตร์ได้สืบค้นหลักฐานโดยการขุดค้นหลักฐานทางโบราณคดีที่บริเวณประตูเมือง และกำแพงเมืองทั้งสี่ด้าน ในบริเวณโครงการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยในช่วงปี พ.ศ. 2521 – 2524 ก็ได้พบกับหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่บ่งชี้ถึงลักษณะในการก่อสร้างกำแพงเมืองสุโขทัย ว่ามีรูปแบบในการก่อสร้างผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรม 2 สมัยด้วยกัน ได้แก่
  1. สมัยสร้างเมืองสุโขทัยเริ่มแรก จะพบว่ามีกำแพงจะถูกสร้างเฉพาะกำแพงเมืองชั้นใน และประตูเมืองทั้งสี่ด้านเท่านั้น โดยนักโบราณคดีขุดพบหลักฐานการก่อสร้างจากวัดในพุทธศาสนาที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณป้อมประตูเมืองประตูนะโมทางด้านทิศใต้
  2. สมัยที่สอง เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 20 เรื่อยมา พบหลักฐานการสร้างป้อมที่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขวางดั้นประตูเมืองชั้นใน กำแพงเมืองชั้นกลาง และกำแพงเมืองชั้นนอกเอาไว้ เป็นเหตุให้บริเวณประตูนะโมที่เป็นประตูเมืองทางทิศใต้ที่มีป้อมรูปสี่เหลี่ยม สร้างอยู่บนศาสนสถานหรือบนวัดที่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานเพิ่มเติมด้วยว่า ได้มีการปรับปรุงกำแพงเมืองชั้นในที่เคยมีให้สูงมากขึ้น รวมทั้งยังมีการก่ออิฐประกอบแกนดินที่ตรวจพบบริเวณประตูอ้อ ซึ่งเป็นประตูเมืองทางด้านทิศตะวันตกด้วย
สถาปัตยกรรม
พัฒนาการของสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 สมัย ได้แก่
1.รุ่นก่อนสุโขทัย หรือก่อนราชวงศ์พระร่วงจะเป็นศาสนสถานตามรูปแบบของลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนานิกายมหายาน ที่มีรูปแบบการสร้างเป็นของลักษณะของปรางค์ 3 องค์เรียงกันในแนวนอน และเป็นปรางค์ที่ออปแบบให้ยกฐานสูง
2.รุ่นสมัยสุโขทัย หรือในสมัยของราชวงศ์พระร่วง โดยประมาณการณ์ตั้งแต่รัชกาลของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นต้นมา ในยุคนี้ สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จะเป็นวัดแบบพุทธศาสนานิกายหินยาน ซึ่งในขณะนั้นเป็นศาสนาหลักที่ชาวเมืองนับถือกัน
ส่วนวัสดุที่นิยมใช้ในการก่อสร้าง จะนิยมใช้อิฐและศิลาแลงเป็นวัสดุหลัก และพบว่ามีหินชนวนเป็นส่วนประกอบบ้าง ส่วนศิลาแลงขนาดใหญ่จะใช้สำหรับก่อสร้างในส่วนฐานเพื่อรองรับน้ำหนัก โดยจะใช้วิธีเรียงซ้อนไปมาแบบไร้ตัวประสาน ตามอิทธิพลที่ได้รับมาจากเขมร  เรียกเทคนิคที่ว่านี้ว่า “การก่อแบบแห้ง” ส่วนศิลาแลงขนาดเล็กจะใช้ดินเป็นตัวประสานเช่นเดียวกับอิฐ เมื่อก่อวัสดุก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีการฉาบปูนทับไว้อีกหนึ่งชั้น โดยปูนที่ฉาบผนังหรือใช้ประดับลวดลายของผนัง จะประกอบไปด้วยปูนขาว ทราย น้ำอ้อย และหนังสัตว์ที่เคี่ยวจนเปื่อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น