การสถาปนากรุงสุโขทัย
ก่อนที่กรุงสุโขทัยจะถูกสถาปนาขึ้น ดินแดนบริเวณนั้นตั้งแต่ภาคเหนือเรื่อยลงมาถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและอ่าวไทย ตกอยู่ใต้การควบคุมของขอมทั้งสิ้น แต่หากเป็นพื้นที่ตั้งแต่ปากน้ำโพขึ้นไป จะถือเป็นเขตแดนของเมืองสยาม โดยมีสุโขทัยเป็นศูนย์กลางการปกครอง ส่วนดินแดนทางตอนใต้ใต้ นับตั้งแต่ปากน้ำโพลงไปอ่าวไทย ถือเป็นที่ตั้งของอาณาจักรละโว้
ก่อนที่กรุงสุโขทัยจะถูกสถาปนาขึ้น ดินแดนบริเวณนั้นตั้งแต่ภาคเหนือเรื่อยลงมาถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและอ่าวไทย ตกอยู่ใต้การควบคุมของขอมทั้งสิ้น แต่หากเป็นพื้นที่ตั้งแต่ปากน้ำโพขึ้นไป จะถือเป็นเขตแดนของเมืองสยาม โดยมีสุโขทัยเป็นศูนย์กลางการปกครอง ส่วนดินแดนทางตอนใต้ใต้ นับตั้งแต่ปากน้ำโพลงไปอ่าวไทย ถือเป็นที่ตั้งของอาณาจักรละโว้
ในปี พ.ศ. 1780 มีผู้นำ อันได้แก่ พ่อขุนบางกลางหาวหรือพ่อขันบางกลางท่าวผู้เป็นเจ้าเมืองบางยาง และพ่อขันผาเมืองผู้เป็นเจ้าเมืองราช ทั้งสองได้ร่วมมือกันรวบรวมกำลังพลที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อหวังที่จะเข้ายึดเมืองเมืองสุโขทัย และเมืองโดยรอบที่เป็นสมบัติของขอม จากนั้นจึงสถาปนาให้เป็นกรุงสุโขทัย ภายใต้การปกครองของพ่อขุนบางกลางหาวแห่งราชวงศ์พระร่วง โดยทรงมีพระนามว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” และหลังจากการครองราชย์ของพระองค์ ก็ยังคงมีกษัตริย์สืบต่อกรุงสุโขทัยต่อไปอีก รวมถึง 9 พระองค์ ดังต่อไปนี้
ลำดับกษัตริย์แห่งราชวงศ์สุโขทัย
- พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ในปี พ.ศ. 1781
- พ่อขุนบางเมือง สืบบัลลังก์ต่อจากพระบิดา (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) โดยพระองค์เป็นโอรสองค์ที่สองของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ สิ้นรัชกาลในปี พ.ศ. 1820
- พ่อขุนรามคำแหงหรือชื่อเดิมคือร่วง ตั้งแต่ครั้งที่ชนช้างชนะเจ้าเมืองฉอด พระบิดา(พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) จึงทรงพระราชทานนามใหม่ให้ว่า “รามคำแหง” พระองค์ถือเป็นโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เช่นกัน แต่มีมารดาชื่อนางเสือง ทรงครองราชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1822
- พ่อเจ้าเลอไทย ขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 1843
- พระยางั่วนำถม ตำนานไม่ปรากฏชัดว่าเริ่มรัชกาลเมื่อใด ทราบแต่เพียงว่าสิ้นรัชกาลในปี พ.ศ. 1890
- พระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือ พญาลิไท ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1890 – 1917
- พระมหาธรรมราชาที่2 หรือ พระเจ้าไสยลือไท ขึ้นครองราชย์ช่วง พ.ศ. 1917 -1942 โดยช่วงท้ายราชกาลเป็นช่วงเวลาที่กรุงสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา
- พระมหาธรรมราชาที่ 3 ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 1942 – 1962 ช่วงเวลาดังกล่าวนี้กรุงสุโขทัยได้ย้ายราชธานีจากที่เดิมมาตั้งเมืองใหม่อยู่ที่พิษณุโลก
- พระมหาธรรมราชาที่ 4 ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 1962 – 1981 พระองค์ถือเป็นกษัตริย์องศ์สุดท้ายก่อนสิ้นสุดราชวงศ์สุโขทัย
ในยุคแรกของการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย เมืองที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่สุโขทัย และมีเมืองเล็กๆอยู่ที่เมืองเชลียง ที่ตั้งกระจัดกระจายตามลุ่มแม่น้ำปิง วัง ยม และน่าน ด้านเหนือของอาณาจักรติดกับเมืองแพร่ ด้านใต้ติดกับเมืองพระบาง (หรือปัจจันคือจังหวัดนครสวรรค์)
กล่าวกันว่ากรุงสุโขทัยในช่วงการปกครองของพ่่อขุนรามคำแห่ง เป็นช่วงเวลาที่มีการแผ่ขยายอาณาเขตไปได้อย่างกว้างขวาง ดังต่อไปนี้
- ทิศเหนือ สุดเขตที่ล้านนาไทยในลำปาง
- ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สุดเขตที่เมืองแพร่ น่าน และพลั่ว (ปัจจุบันคืออำเภอปัว จังหวัดน่าน) และหลวงพระบาง
- ทิศตะวันออก สุดเขตที่เมืองเวียงจันทน์และเวียงคำ
- ทิศใต้ สุดเขตที่ปลายแหลมมลายู
- ทิศตะวันตก สุเดขตที่มหาสมุทรอินเดีย เรื่อยไปจนถึงเมืองฉอด หวงสาวดี ทวาย และตะนาวศรี
หากนับรวมเวลาทั้งหมดที่กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อกันมา ตั้งแต่ พ.ศ. 1780 – พ.ศ. 1981 ก็ถือว่ายาวนานกินเวลาราว 200 ปีเลยทีเดียว แต่เหตุเพราะในราวปี พ.ศ. 1983 เกิดมีกลุ่มคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของกรุงสุโขทัย ได้รวบรวมพลและสถาปนาอาณาจักรอีกแห่งขึ้นที่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยกลุ่มคนเหล่านี้มีพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ พระเจ้าอู่ทอง เป็นผู้นำและถือเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรอยุธยา
และเนื่องจากอาณาจักรอยุธยามีทำเลที่ตั้งเมืองที่ดีกว่า รวทถึงมีกษัตริย์ผู้ปกครองที่เข้มแข็ง พระเจ้าอู่ทองที่เป็นกษัตริย์อยู่ในชณะนั้นได้ขยายอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สามารถยึดครองเอาอาณาจักรสุโขทัยมารวมเป็นหนึ่งในประเทศราชได้ ทำให้สมัยของพระมหาธรรมราชที่ 2 ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของการตั้งอยู่ของกรุงสุโขทัย และตั้งแต่ปี พ.ศ. 1981 เป็นต้นมา กรุงสุโขทัยก็ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาในที่สุด
การปกครองสมัยสุโขทัย
สมัยสุโขทัยมีการปกครองที่เรียกว่า “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ซึ่งหมายความว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศจะขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์เพียงผู้เดียว ทั้งนี้เนื่องจาก พื้นที่ของกรุงสุโขทัยไม่ได้กว้างขวางมากนัก รวมถึงประชากรในเมืองก็มีไม่มาก กษัตริย์จึงทำหน้าที่เป็นธรรมราชา และปกครองอาณาจักรในฐานะ ‘ผู้นำชุมชน’ หรือ ‘พ่อเมือง’ ได้โดยง่าย ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การปกครองของกรุงสุโขทัยในระยะเริ่มแรก จะมีลักษณะการปกครองที่เป็นแบบ “พ่อปกครองลูก” เสียมากกว่า แต่เมื่อล่วงเลยสมัยของพ่อขุนรามคำแห่งมหาราชไปแล้ว กรุงสุโขทัยก็ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองไปตามอิทธิพลของขอม ซึ่งนิยมจะยกย่องกษัตริย์ให้มีฐานะสูงขึ้น ทำให้พระนามของกษัตริย์เปลี่ยนแปลงจากคำว่า “พ่อขุน” ไปเป็นคำว่า “พญา” ในที่สุด
สมัยสุโขทัยมีการปกครองที่เรียกว่า “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ซึ่งหมายความว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศจะขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์เพียงผู้เดียว ทั้งนี้เนื่องจาก พื้นที่ของกรุงสุโขทัยไม่ได้กว้างขวางมากนัก รวมถึงประชากรในเมืองก็มีไม่มาก กษัตริย์จึงทำหน้าที่เป็นธรรมราชา และปกครองอาณาจักรในฐานะ ‘ผู้นำชุมชน’ หรือ ‘พ่อเมือง’ ได้โดยง่าย ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การปกครองของกรุงสุโขทัยในระยะเริ่มแรก จะมีลักษณะการปกครองที่เป็นแบบ “พ่อปกครองลูก” เสียมากกว่า แต่เมื่อล่วงเลยสมัยของพ่อขุนรามคำแห่งมหาราชไปแล้ว กรุงสุโขทัยก็ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองไปตามอิทธิพลของขอม ซึ่งนิยมจะยกย่องกษัตริย์ให้มีฐานะสูงขึ้น ทำให้พระนามของกษัตริย์เปลี่ยนแปลงจากคำว่า “พ่อขุน” ไปเป็นคำว่า “พญา” ในที่สุด
เมื่อกล่าวถึงลักษณะการปกครองเมือง จะเป็นในรูปแบบการกระจายอำนาจจากศูนย์กลางของเมืองไปยังเมืองอื่นๆ โดยมีเหตุผลเพื่อป้องกันไม่ให้ดินแดนอื่นๆถูกข้าศึกแย่งชิงไปเป็นเมืองขึ้นนั่นเอง อย่างไรตาม ลักษณะการปกครองในสมัยกรุงสุโขทัย ก็มีรูปแบบที่ปรับให้เข้ากับหลักการแห่งการปกครองโดยระบอบประชาธิไตยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เปิดโอกาสให้ประชาชนมีเสรีภาพในการเรียกร้องยุติธรรม เปิดโอกาสให้ประชาชนมีเสรีภาพในการค้า เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น(ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น