วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประวัติศาสตร์สุโขทัย

ชุมชนดั้งเดิม
    พื้นที่บริเวณภาคเหนือทางตอนล่างหรือพื้นที่ทางตอนล่างของลุ่มแม่น้ำปิง ยม และน่าน ก่อนจะถูกรวมมาเป็นกรุงสุโขทัย ได้มีการพบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนขนาดเล็กมาก่อน โดยตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมต่อระหว่างรัฐหรืออาณาจักรโบราณ ที่ล้วนมีความมั่นคงด้านการเมือง ก้าวหน้าทางเทคนิควิทยา มีอารยธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และมีการยอมรับนับถือศาสนาต่างๆ อันได้แก่ อาณาจักรพุกามทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ แคว้นหริภุญไชยในจังหวัดลำพูนและลำปาง แคว้นละโว้หรือลพบุรีและแคว้นนครชัยศรีในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลาง
กำเนิดเมืองสุโขทัย
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่สามารถสืบค้นได้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ก่อนจะมีการสถาปนากรุงสุโขทัยขึ้นมา ได้มีการตั้งบ้านเรือนของชุมชนในบริเวณนี้มาก่อนแล้ว และพัฒนาการของชุมชนเล็กๆเหล่านี้ ก็ได้ขยายตัวจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ และพัฒนาไปเป็นบ้านเมืองในที่สุด
    โดยข้อมูลที่ค้นพบจากหลักฐานทางโบราณคดี กล่าวไว้ว่า คนในสมัยนั้นมีการสร้างบ้านเรือนด้วยไม้ มีการล่าสัตว์และหาของป่าเพื่อประทังชีวิต อีกทั้งยังมีการเลี้ยงสัตว์ประเภทวัวควายเอาไว้ใช้งาน และมีการทำภาชนะดินเผาขึ้นเพื่อนำมาใช้เองในชีวิตประจำวันด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ชาวเมืองเหล่านี้ยังเรียนรู้การหลอมโลหะ และมีความสัมพันธ์ทางด้านการติดต่อค้าขายกับชุมชนอื่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียง และชุมชนที่อยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไปด้วย
sukhothai   เมื่อถึงในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 18 ก็เป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมเขมรได้เข้ามามีอิทธิพลต่อชุมชนเหล่านี้อย่างมากขึ้น ดังจะพบหลักฐานทางสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่หลากหลาย เช่น ศาลตาผาแดง ประติมากรรมหินทราย หรือ ปรางค์ 3 องค์ เป็นต้น แต่ในช่วงครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 18 เราก็พบถึงหลักฐานที่ปรากฏตามหลักศิลาจารึกหลักที่ 2 (ศิลาจาจึกวัดศรีชุม) ไว้ว่า ในขณะนั้น พ่อขุนศรีนาวนำถมคือกษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์กรุงสุโขทัยและศรีสัชนาลัยอยู่ในขณะนั้น และเนื่องจากพระองค์ทรงมีสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับราชสำนักเขมร จึงได้ให้พ่อขุนผาเมืองผู้เป็นโอรสขึ้นครองราชย์ โดยมีพระราชธิดาของกษัตริย์เขมร เป็นมเหสีคู่กาย พร้อมได้รับราชทินนามว่า “กมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์” และ “พระขรรค์ชัยศรี” ที่แต่งตั้งจากกษัตริย์เขมรด้วย
    แต่แล้วอิทธิพลของวัฒนธรรมเขมรในสุโขทัยก็เริ่มเสื่อมถอยลงหลังจากสิ้นรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เมื่อปี พ.ศ. 1760 ซึ่งในขณะนั้น ผู้นำของคนไทย อันมี พ่อขุนผาเมือง และ พ่อขุนบางกลางหาว เป็นหลัก ได้ร่วมมือกัน โดยหวังจะกำจัดอำนาจของขอมสบาดโขลญลำโพงออกไปจากเมืองสุโขทัย และทั้งสองก็สามารถทำได้สำเร็จในปี พ.ศ. 1782 หลังจากนั้นเป็นต้นมา พ่อขุนผาเมืองก็ได้ถวายพระนามกมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์และถวายพระขรรค์ชัยศรี ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งกษัตริย์ ให้แก่พ่อขุนบางกลางหาว และถือว่ามีอำนาจในการปกครองเมืองสุโขทัย สืบแทนราชวงศ์ของพ่อขุนศรีนาวนำถม

การสถาปนากรุงสุโขทัยและการปกครอง

การสถาปนากรุงสุโขทัย
       ก่อนที่กรุงสุโขทัยจะถูกสถาปนาขึ้น  ดินแดนบริเวณนั้นตั้งแต่ภาคเหนือเรื่อยลงมาถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและอ่าวไทย ตกอยู่ใต้การควบคุมของขอมทั้งสิ้น แต่หากเป็นพื้นที่ตั้งแต่ปากน้ำโพขึ้นไป จะถือเป็นเขตแดนของเมืองสยาม โดยมีสุโขทัยเป็นศูนย์กลางการปกครอง ส่วนดินแดนทางตอนใต้ใต้ นับตั้งแต่ปากน้ำโพลงไปอ่าวไทย ถือเป็นที่ตั้งของอาณาจักรละโว้
       ในปี พ.ศ.  1780  มีผู้นำ อันได้แก่ พ่อขุนบางกลางหาวหรือพ่อขันบางกลางท่าวผู้เป็นเจ้าเมืองบางยาง  และพ่อขันผาเมืองผู้เป็นเจ้าเมืองราช ทั้งสองได้ร่วมมือกันรวบรวมกำลังพลที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อหวังที่จะเข้ายึดเมืองเมืองสุโขทัย และเมืองโดยรอบที่เป็นสมบัติของขอม จากนั้นจึงสถาปนาให้เป็นกรุงสุโขทัย ภายใต้การปกครองของพ่อขุนบางกลางหาวแห่งราชวงศ์พระร่วง โดยทรงมีพระนามว่า  “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์”  และหลังจากการครองราชย์ของพระองค์ ก็ยังคงมีกษัตริย์สืบต่อกรุงสุโขทัยต่อไปอีก รวมถึง  9  พระองค์ ดังต่อไปนี้
ลำดับกษัตริย์แห่งราชวงศ์สุโขทัย
  1. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ในปี พ.ศ.  1781
  2. พ่อขุนบางเมือง สืบบัลลังก์ต่อจากพระบิดา (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) โดยพระองค์เป็นโอรสองค์ที่สองของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ สิ้นรัชกาลในปี  พ.ศ.  1820
  3. พ่อขุนรามคำแหงหรือชื่อเดิมคือร่วง  ตั้งแต่ครั้งที่ชนช้างชนะเจ้าเมืองฉอด  พระบิดา(พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) จึงทรงพระราชทานนามใหม่ให้ว่า  “รามคำแหง”  พระองค์ถือเป็นโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เช่นกัน แต่มีมารดาชื่อนางเสือง  ทรงครองราชย์ตั้งแต่ปี  พ.ศ.  1822
  4. พ่อเจ้าเลอไทย ขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 1843
  5. พระยางั่วนำถม ตำนานไม่ปรากฏชัดว่าเริ่มรัชกาลเมื่อใด ทราบแต่เพียงว่าสิ้นรัชกาลในปี  พ.ศ.  1890
  6. พระมหาธรรมราชาที่ 1  หรือ พญาลิไท ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ปี  พ.ศ.  1890 – 1917
  7. พระมหาธรรมราชาที่2  หรือ พระเจ้าไสยลือไท ขึ้นครองราชย์ช่วง  พ.ศ.  1917 -1942  โดยช่วงท้ายราชกาลเป็นช่วงเวลาที่กรุงสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา
  8. พระมหาธรรมราชาที่ 3  ขึ้นครองราชย์ในปี  พ.ศ.  1942 – 1962  ช่วงเวลาดังกล่าวนี้กรุงสุโขทัยได้ย้ายราชธานีจากที่เดิมมาตั้งเมืองใหม่อยู่ที่พิษณุโลก
  9. พระมหาธรรมราชาที่ 4  ขึ้นครองราชย์ในปี  พ.ศ.  1962 – 1981  พระองค์ถือเป็นกษัตริย์องศ์สุดท้ายก่อนสิ้นสุดราชวงศ์สุโขทัย
ในยุคแรกของการก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย เมืองที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่สุโขทัย และมีเมืองเล็กๆอยู่ที่เมืองเชลียง ที่ตั้งกระจัดกระจายตามลุ่มแม่น้ำปิง  วัง  ยม  และน่าน  ด้านเหนือของอาณาจักรติดกับเมืองแพร่  ด้านใต้ติดกับเมืองพระบาง (หรือปัจจันคือจังหวัดนครสวรรค์)
กล่าวกันว่ากรุงสุโขทัยในช่วงการปกครองของพ่่อขุนรามคำแห่ง เป็นช่วงเวลาที่มีการแผ่ขยายอาณาเขตไปได้อย่างกว้างขวาง ดังต่อไปนี้
พ่อขุนรามคำแหง
  • ทิศเหนือ  สุดเขตที่ล้านนาไทยในลำปาง
  • ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สุดเขตที่เมืองแพร่  น่าน  และพลั่ว (ปัจจุบันคืออำเภอปัว จังหวัดน่าน)  และหลวงพระบาง
  • ทิศตะวันออก  สุดเขตที่เมืองเวียงจันทน์และเวียงคำ
  • ทิศใต้ สุดเขตที่ปลายแหลมมลายู
  • ทิศตะวันตก  สุเดขตที่มหาสมุทรอินเดีย เรื่อยไปจนถึงเมืองฉอด  หวงสาวดี  ทวาย  และตะนาวศรี

หากนับรวมเวลาทั้งหมดที่กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อกันมา ตั้งแต่  พ.ศ.  1780 – พ.ศ.  1981  ก็ถือว่ายาวนานกินเวลาราว  200  ปีเลยทีเดียว  แต่เหตุเพราะในราวปี  พ.ศ.  1983  เกิดมีกลุ่มคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ของกรุงสุโขทัย ได้รวบรวมพลและสถาปนาอาณาจักรอีกแห่งขึ้นที่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา  โดยกลุ่มคนเหล่านี้มีพระรามาธิบดีที่  1  หรือ พระเจ้าอู่ทอง  เป็นผู้นำและถือเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรอยุธยา
และเนื่องจากอาณาจักรอยุธยามีทำเลที่ตั้งเมืองที่ดีกว่า รวทถึงมีกษัตริย์ผู้ปกครองที่เข้มแข็ง พระเจ้าอู่ทองที่เป็นกษัตริย์อยู่ในชณะนั้นได้ขยายอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สามารถยึดครองเอาอาณาจักรสุโขทัยมารวมเป็นหนึ่งในประเทศราชได้ ทำให้สมัยของพระมหาธรรมราชที่  2  ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของการตั้งอยู่ของกรุงสุโขทัย และตั้งแต่ปี  พ.ศ.  1981  เป็นต้นมา กรุงสุโขทัยก็ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาในที่สุด
การปกครองสมัยสุโขทัย
     สมัยสุโขทัยมีการปกครองที่เรียกว่า “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ซึ่งหมายความว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศจะขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์เพียงผู้เดียว ทั้งนี้เนื่องจาก พื้นที่ของกรุงสุโขทัยไม่ได้กว้างขวางมากนัก รวมถึงประชากรในเมืองก็มีไม่มาก กษัตริย์จึงทำหน้าที่เป็นธรรมราชา และปกครองอาณาจักรในฐานะ ‘ผู้นำชุมชน’ หรือ ‘พ่อเมือง’ ได้โดยง่าย  ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การปกครองของกรุงสุโขทัยในระยะเริ่มแรก จะมีลักษณะการปกครองที่เป็นแบบ “พ่อปกครองลูก” เสียมากกว่า แต่เมื่อล่วงเลยสมัยของพ่อขุนรามคำแห่งมหาราชไปแล้ว กรุงสุโขทัยก็ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองไปตามอิทธิพลของขอม  ซึ่งนิยมจะยกย่องกษัตริย์ให้มีฐานะสูงขึ้น  ทำให้พระนามของกษัตริย์เปลี่ยนแปลงจากคำว่า “พ่อขุน” ไปเป็นคำว่า  “พญา” ในที่สุด
      เมื่อกล่าวถึงลักษณะการปกครองเมือง จะเป็นในรูปแบบการกระจายอำนาจจากศูนย์กลางของเมืองไปยังเมืองอื่นๆ  โดยมีเหตุผลเพื่อป้องกันไม่ให้ดินแดนอื่นๆถูกข้าศึกแย่งชิงไปเป็นเมืองขึ้นนั่นเอง อย่างไรตาม ลักษณะการปกครองในสมัยกรุงสุโขทัย ก็มีรูปแบบที่ปรับให้เข้ากับหลักการแห่งการปกครองโดยระบอบประชาธิไตยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เปิดโอกาสให้ประชาชนมีเสรีภาพในการเรียกร้องยุติธรรม เปิดโอกาสให้ประชาชนมีเสรีภาพในการค้า เปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น(ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช)

สังคมและระบบผังเมืองสมัยสุโขทัย

สังคมในสมัยสุโขทัย
  กล่าวกันว่าในสมัยกรุงสุโขทัย ความเชื่อดั้งเดิมของชาวสุโขทัยจะนิยมนับถือผีสาง เทพยดา บรรพบุรุษ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเป็นที่ตั้ง  แต่ภายหลังต่อมา เมื่อมีพระพุทธศาสนาเข้าเผยแผ่ในกรุงสุโขทัย โดยได้รับมาจากเมืองนครศรีธรรมที่ถ่ายทอดมาจากลังกา(ลัทธิลังกาวงศ์)อีกที จึงทำให้ความเชื่อของชาวกรุงสุโขทัยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นอกจากนี้ ก็ยังมีศาสนาพราหมณ์เข้ามามีอิทธิพลต่อชาวเมืองสุโขทัยเพิ่มขึ้นอีกศาสนาหนึ่งด้วย ดังจะเห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดังต่อไปนี้
ศิลปกรรมหรือสถาปัตยกรรมไทยในสมัยนั้น จะมีลักษณะเด่นที่เห็นได้จากการสร้างเจดีย์ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมา  3  แบบ  ได้แก่
– ระยะแรก  นิยมสร้างเป็นเจดีย์ทรงกลม แต่ฐานเตี้ย
– ระยะที่สอง  นิยมสร้างเป็นเจดีย์แบบบัวตูม หรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
– ระยะที่สาม นิยมสร้างเป็นเจดีย์ทรงกลม  ฐานสูง
โดยพระเจดีย์ที่ถือเป็นเอกลักษณ์อันแสนโดเด่นของอาณาจักรสุโขทัย สามารถพบเห็นได้ที่พระเจดีย์องค์ใหญ่ในวัดมหาธาตุ  หรือ พระเจดีย์กลางที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว
ในส่วนของประติมากรรมจะเป็นการปั้นพระพุทธรูปเสียส่วนใหญ่ โดยลักษณะเด่นของพระพุทธรูปในสมัยกรุงสุโขทัย จะมีส่วนโค้งที่สง่างาม  เรียบ และประณีต โดยพระพุทธรูปที่ได้รับยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปต้นแบบที่งดงามที่สุด  ก็คือ พระพุทธรูปปางลีลา นั่นเอง
ระบบผังเมืองในสมัยกรุงสุโขทัย
     แผนผังของเมืองสุโขทัยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มีความกว้างประมาณ 1800 เมตร และมีความยาวประมาณ 2000 เมตร รอบเมืองจะมีกำแพงล้อมรอบ ซึ่งกำแพงทำจากคันดินที่ถมอัดแน่นล้อมรอบเมืองเอาไว้ถึง 3 ชั้น และระหว่างกำแพงเมืองแต่ละชั้น ก็จะสร้างมีคูน้ำเพื่อคั่นกลางเอาไว้  เกือบกึ่งกลางของกำแพงเมืองในแต่ละด้านจะมีประตูเมืองคอยเปิดและปิดเพื่อต้อนรับแขกและป้องกันศัตรู อีกทั้งยังมีป้อมดินที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมขวางกั้นเอาไว้อยู่ ทั้งนี้ ประตูเมืองทั้งสี่ประตูในปัจจุบันก็มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้ ทิศเหนือมีชื่อเรียกว่า ‘ประตูศาลหลวง’ ทิศตะวันออกมีชื่อเรียกว่า ‘ประตูกำแพงหัก’ ทิศใต้มีชื่อเรียกว่า ‘ประตูนะโม’ และทิศตะวันตกมีชื่อเรียกว่า ‘ประตูอ้อ’
ส่วนภายในเมืองก็มีสถานที่หลักๆหลายแห่ง แห่งแรกคือศูนย์กลางของเมือง อันได้แก่ วัดมหาธาตุ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง อีกทั้งยังมีวัดอื่นๆที่ตั้งอยู่เกาะกลุ่มใก้เคียงกับวัดมหาธาตุ อันประกอบไปด้วย วัดชนะสงคราม วัดศรีสวาย วัดตระพังเงิน วัดสระศรี วัดตระกวน วัดใหม่ และวัดตระพังทอง นอกจากวัดแล้ว ยังมีสระน้ำขนาดต่างๆที่ตั้งกระจายอยู่ตามพื้นที่โดยทั่วไป โดยเฉพาะสระน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างตามความเชื่อทางพุทธศาสนา โดยสระน้ำจะถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของวัดหรือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกำหนดขอบเขตของวัดนั่นเอง
ส่วนบริเวณนอกตัวเมืองทั้งสี่ด้าน ก็สามารถพบเห็นโบราณสถานขนาดต่างๆตั้งกระจายอยู่ตามพื้นที่ทั่วไป โดยทางทิศเหนือจะมีวัดพระพายหลวง วัดศรีชุม และเตาทุเรียงเป็นสถานที่หลักสำคัญ ส่วนทิศตะวันออกก็มีวัดช้างล้อม วัดเจดีย์สูง และวัดตระพังทองหลาง คอยบ่งบอกอาณาเขตไว้ ในขณะที่ทิศใต้จะมีวัดพระเชตุพน วัดเจดีย์สี่ห้อง และวัดศรีพิจิตรกิติกัลยาราม ตั้งเป็นสำคัญอยู่ ส่วนสุดท้ายที่ทิศตะวันตกก็มีกลุ่มวัดหลายแห่งในเขตอรัญญิก เช่น วัดป่ามะม่วง วัดมังกร วัดสะพานหิน วัดพระบาทน้อย และวัดเจดีย์งาม ตั้งไว้ให้ผู้คนไปสักการะด้วย และนอกจากนี้จากนี้ ในแต่ละด้านก็ยังมีสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้องกับระบบชลประทาน ไม่ว่าจะเป็น คันบังคับน้ำ ทำนบ คลองส่งน้ำ คลองระบายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการกักเก็บน้ำไว้ใช้ และเป็นปราการสำคัญของกรุงสุโขทัยด้วย
จากที่กล่าวถึงลักษณะของเมืองตามที่กำหนดให้ศาสนสถานเป็นศูนย์กลางของเมืองเช่นนี้ ถือเป็นหลักการในการตั้งเมืองที่น่าจะได้รับอิทธิพลจากเขมรที่ผสมผสานไปกับอิทธิพลของพุทธศาสนานอกายหินยาน  ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีศาสนสถานต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้นตามลำดับ และถูกใช้เป็นตัวการหลักในการกำหนดและออกแบบรูปแบบของผังเมือง
จากผลที่นักประวัติศาสตร์ได้สืบค้นหลักฐานโดยการขุดค้นหลักฐานทางโบราณคดีที่บริเวณประตูเมือง และกำแพงเมืองทั้งสี่ด้าน ในบริเวณโครงการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยในช่วงปี พ.ศ. 2521 – 2524 ก็ได้พบกับหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่บ่งชี้ถึงลักษณะในการก่อสร้างกำแพงเมืองสุโขทัย ว่ามีรูปแบบในการก่อสร้างผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรม 2 สมัยด้วยกัน ได้แก่
  1. สมัยสร้างเมืองสุโขทัยเริ่มแรก จะพบว่ามีกำแพงจะถูกสร้างเฉพาะกำแพงเมืองชั้นใน และประตูเมืองทั้งสี่ด้านเท่านั้น โดยนักโบราณคดีขุดพบหลักฐานการก่อสร้างจากวัดในพุทธศาสนาที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณป้อมประตูเมืองประตูนะโมทางด้านทิศใต้
  2. สมัยที่สอง เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 20 เรื่อยมา พบหลักฐานการสร้างป้อมที่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขวางดั้นประตูเมืองชั้นใน กำแพงเมืองชั้นกลาง และกำแพงเมืองชั้นนอกเอาไว้ เป็นเหตุให้บริเวณประตูนะโมที่เป็นประตูเมืองทางทิศใต้ที่มีป้อมรูปสี่เหลี่ยม สร้างอยู่บนศาสนสถานหรือบนวัดที่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานเพิ่มเติมด้วยว่า ได้มีการปรับปรุงกำแพงเมืองชั้นในที่เคยมีให้สูงมากขึ้น รวมทั้งยังมีการก่ออิฐประกอบแกนดินที่ตรวจพบบริเวณประตูอ้อ ซึ่งเป็นประตูเมืองทางด้านทิศตะวันตกด้วย
สถาปัตยกรรม
พัฒนาการของสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 สมัย ได้แก่
1.รุ่นก่อนสุโขทัย หรือก่อนราชวงศ์พระร่วงจะเป็นศาสนสถานตามรูปแบบของลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนานิกายมหายาน ที่มีรูปแบบการสร้างเป็นของลักษณะของปรางค์ 3 องค์เรียงกันในแนวนอน และเป็นปรางค์ที่ออปแบบให้ยกฐานสูง
2.รุ่นสมัยสุโขทัย หรือในสมัยของราชวงศ์พระร่วง โดยประมาณการณ์ตั้งแต่รัชกาลของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นต้นมา ในยุคนี้ สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จะเป็นวัดแบบพุทธศาสนานิกายหินยาน ซึ่งในขณะนั้นเป็นศาสนาหลักที่ชาวเมืองนับถือกัน
ส่วนวัสดุที่นิยมใช้ในการก่อสร้าง จะนิยมใช้อิฐและศิลาแลงเป็นวัสดุหลัก และพบว่ามีหินชนวนเป็นส่วนประกอบบ้าง ส่วนศิลาแลงขนาดใหญ่จะใช้สำหรับก่อสร้างในส่วนฐานเพื่อรองรับน้ำหนัก โดยจะใช้วิธีเรียงซ้อนไปมาแบบไร้ตัวประสาน ตามอิทธิพลที่ได้รับมาจากเขมร  เรียกเทคนิคที่ว่านี้ว่า “การก่อแบบแห้ง” ส่วนศิลาแลงขนาดเล็กจะใช้ดินเป็นตัวประสานเช่นเดียวกับอิฐ เมื่อก่อวัสดุก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีการฉาบปูนทับไว้อีกหนึ่งชั้น โดยปูนที่ฉาบผนังหรือใช้ประดับลวดลายของผนัง จะประกอบไปด้วยปูนขาว ทราย น้ำอ้อย และหนังสัตว์ที่เคี่ยวจนเปื่อย